เดือนนี้ก็ครบรอบ 2 ปีที่ซื้อรถคันแรกแล้ว ก็เลยอยากรีวิวการใช้งานเผื่อมีคนอยากอ่าน เพราะเห็นว่าไม่ค่อยจะเจอรุ่นนี้บนถนนสักเท่าไรถ้าไม่นับแท็กซี่และรถบริษัท ทั้งๆ ที่เป็นรถที่ดีคันหนึ่ง
การใช้งานในเมืองไม่ได้มีอะไรพิเศษมาก อัตราเร่งเหลือใช้ เร่งแซงไม่เหนื่อย มอเตอร์ไฟฟ้าก็มีความดึงเบาๆ ถ้าถนนดีและใช้มอเตอร์ไฟฟ้าอยู่ ภายในรถจะเงียบมาก แต่การเก็บเสียงเช่นเสียงมอเตอร์ไซค์ทำได้ไม่ดี เสียงยางจะดังมากถ้าพื้นไม่ดี (ยางที่ได้มาเป็น Dunlop Sport Maxx) ส่วนเสียงลมเริ่มมาเบาๆ ที่ความเร็ว 70 แต่ต้องเกิน 120 ถึงมีเสียงลมชัดเจน อัตราสิ้นเปลืองในเมืองประมาณ 20 กม./ลิตร
รถคันนี้ขึ้นเหนือมาแล้ว 2 ครั้ง ลงใต้ก็ 2 ครั้ง ส่วนมากเดินทางไกลจะมีกัน 4 คนบนรถ เพราะฉะนั้นจะขอรีวิวส่วนเดินทางไกลแบบมีน้ำหนัก 4 คน การเร่งแซงทางราบพอไหวแต่ต้องประเมินระยะดีๆ เลย การขึ้นเขาขึ้นดอย ถ้าชันจริงๆ ก็จะอืดหน่อย แต่ก็ไปมาแล้วทั้งภูทับเบิก เขาต่างๆ ในน่าน เชียงใหม่ พังงา กระบี่ อัตราสิ้นเปลืองประมาณ 21-25 แล้วแต่ประเภท (ไปเขา/ไปพัทยา)
เดินทางนานๆ แบบกรุงเทพ-เชียงใหม่ กรุงเทพ-กระบี่ มีทั้งคนที่ปวดเมื่อยและไม่เมื่อย ส่วนตัวในฐานะคนขับไม่ได้ปวดอะไร ช่วงล่างไม่ได้ถึงกับนิ่ม แต่นั่งแล้วไม่ล้า
ด้านประโยชน์ใช้สอย คันนี้พับเบาะหลังได้แบบ 60:40 ขนของยาวๆ ได้ ขนเฟอร์นิเจอร์ได้สบาย ขนจักรยานต้องถอดล้ออย่างน้อย 1 ล้อ แต่ช่องเก็บของในรถน้อยมาก ที่เก็บแว่น เก็บบัตรไม่มีเลย ยังดีที่วางขวด 500 มล. ได้ทุกประตู
วัสดุภายในบุนุ่มในจุดที่ต้องสัมผัสเกือบทั้งหมด รวมถึงคอนโซลหน้า ทำให้รู้สึกอบอุ่น cosy แต่ความสวยงามอยู่ในระดับของใช้งาน ไม่ใช่ศิลปะ

Altis โฉมนี้เป็นแพลตฟอร์ม TNGA ซึ่งทำช่วงล่างมาดีมากๆ รับมือกับสปีดลิมิตบนไฮเวย์ได้สบาย หรือถ้าจะเกินกว่านั้นก็ยังรับได้ ช่วงล่างเกาะถนน เล่นโค้งตามภูเขาภาคเหนือได้สนุก ไม่โยน ไม่โคลง ในขณะเดียวกันก็ซับแรงกระแทกได้ดี เช่น หลุม ลูกระนาด รอยต่อถนน แต่ถ้าเจอถนนพื้นผิวไม่เรียบก็ค่อนข้างสะเทือน เช่น งานปะถนนที่ไม่ดี
การ rebound เซ็ตมาได้ดี เจอลูกระนาดไม่กระเด้งกระดอน เจอคอสะพานไม่หวิว ถนนเป็นคลื่นตัวรถก็ไม่โยนไปมา แต่จะสัมผัสได้เลยว่าถนนไม่เรียบ
อีกเรื่องคือรุ่นไฮบริดตัวรถจะยกสูงกว่ารุ่นเบนซินล้วนขึ้นมาเล็กน้อย ถ้า Maps พาเข้าทางดินเป็นหลุมเป็นบ่อ ก็ยังพอลุยได้ ไม่ครูดท้อง (ไปทดสอบมาแล้วโดยบังเอิญ)
ช่วงล่างของ TNGA ทำมาได้ดีจริงๆ จนเป็นประเด็นที่อยากพูดถึงบ่อยๆ

ระบบส่งกำลังสามารถตัดต่อระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าได้ดีมากๆ ถ้าถนนไม่เรียบจริงๆ จะแยกไม่ออกเลยว่าตอนนี้สลับจากมอเตอร์มาเป็นเครื่องยนต์แล้ว
หลายคนอาจจะกลัวความเป็นเกียร์ CVT เพราะโตโยต้าใช้คำว่า e-CVT ในสเปกรถ แต่ e-CVT ของโตโยต้าไม่ใช่เกียร์ CVT สายพาน ถ้าลองดูการทำงานจริงๆ จะพบว่าเกียร์ชุดนี้เป็น engineering marvel มากๆ เพราะเป็น planetary gearset ที่จำลองอัตราทดด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว ไม่มีสายพานมาเกี่ยวข้อง และเกียร์ชุดนี้ก็ควบคุมการตัดต่อกำลัง การสตาร์ทเครื่องยนต์ การชาร์จแบตเตอรี่ และ regenerative braking ด้วย เพียงแค่เปลี่ยนวิธีการหมุน

สรุปแล้ว Corolla Altis (12th gen) คือรถที่เป็น ‘ของใช้’ จริงๆ ไม่ได้หวือหวา แต่ยังให้ความสนุกกับคนที่ชอบขับรถได้อยู่ ไม่ใช่เพราะความแรง แต่เป็นเพราะช่วงล่างที่ดี เป็นรถที่เชื่อใจได้ ดูแลง่าย คะแนนความปลอดภัย 5 ดาว
แถม
คำถามแรกที่มักจะเจอคือ “ทำไมไม่ซื้อรถไฟฟ้า” ต้องบอกก่อนว่าคันนี้ซื้อเดือน ม.ค. 2566 แปลว่าการตัดสินใจหลักๆ อยู่ในช่วงปลายปี 2565 (แต่เอาจริงก็ดูตัวเลือกมาทั้งปีแล้ว) ตอนนั้น EV มีตัวเลือกแค่ Ora Good Cat กับ MG EP, MG ZS EV, BYD Atto (แต่ก็มีข่าวของ BYD Dolphin กับ BYD Seal แล้ว ว่าจะเข้าปีหน้า) ก็ไม่ได้ถูกใจรูปทรงรถในตัวเลือกเหล่านั้น และพอลองส่องในกลุ่มรถแต่ละรุ่นแล้วก็เจอปัญหาซอฟต์แวร์ทั้งตัวรถ และตู้ชาร์จค่อนข้างเยอะ เลยคิดว่ายังไม่ควรเลือกรถไฟฟ้า
ตัวเลือกที่รอดมาในรอบท้ายสุดจริงๆ คือ Altis, Civic กับ Mazda 3 sedan ถ้าเอาความอยากล้วนๆ คือ Mazda 3 เพราะงานดีไซน์มีศิลปะและวัสดุดีกว่าเยอะ เกียร์ก็เป็น A/T แต่ติดที่ด้านหลังเล็กไป ซึ่งไม่ตรงกับการใช้งานเพราะคิดว่า จะมีคนนั่งหลังบ่อย (ปรากฏว่าค่อนข้างบ่อยจริง) และไม่ประหยัดน้ำมัน
ส่วน Civic โดยรวมก็ชอบ แต่ติดว่าเบาะนั่งเตี้ยทั้งหน้าและหลัง ขึ้นรถไปแล้วเหมือนต้องทิ้งตัว ส่องในกลุ่มก็เจอปัญหาแร็คพวงมาลัยเยอะ และฮอนด้าก็ขึ้นชื่อเรื่องสนิม แต่ข้อดีของ Civic คือเป็นไฮบริดที่แรง
สำหรับ Altis เคยนั่งของเพื่อนและที่บ้าน ก็ชอบช่วงล่างเป็นพิเศษ ส่องในกลุ่มก็เจอปัญหาแค่ลูกปืนล้อและไฟ DRL ซึ่งก็เป็นไปตามอายุใช้งาน อีกอย่างคือรู้สึกมั่นใจในความทนทาน คิดว่ารถคันแรกไม่ควรเป็นภาระ ไม่ควรทำให้ปวดหัว ควรเป็นคันที่เราไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย สุดท้ายก็เลยไปลองขับคันนี้คันเดียว แล้วก็จองเลย